Search

Custom Search

วิธีเสียบปลั๊ก Notebook‏ ที่ถูกต้อง



เรื่องนี้เป็นทิปสั้นๆ แต่..ทิปสั้นๆ นี้ ผมเชื่อว่ามีใครหลายยคนที่ไม่เคยรู้มาก่อน ประมาณว่า จริงเหรอ? ใช่เหรอ?

ในช่วงแรกๆ ที่ผมใช้โน้ตบุ๊กก็อาการเดียวกับหลายๆ ท่าน เวลาจะเสียบปลั๊กก็เสียบตัวอะแดปเตอร์เข้ากับตัวเครื่องก่อน (จริงๆ มันน่าจะถูกนะ) แล้วก็เอาปลั๊กอีกด้านไปเสียบกับเต้ารับของที่บ้าน หรือที่ทำงาน โดยหลักความเป็นจริงแล้ว มันจะควรจะทำแบบนี้ใช่มั้ย?
คิดว่าหลายคนคิดเหมือนผม ปัญหาที่ผมเจอเมื่อทำแบบนี้กับโน้ตบุ๊กแทบทุกรุ่นที่ผ่านมา ก็คือมันมีไฟแลปออกมาจากตัวปลั๊ก เหมือนเกิดการสปาร์คขึ้น เสียบกี่ครั้งก็เกิดอาการแบบนี้ จนพาลคิดไปว่าพวกอะแดปเตอร์โน้ตบุ๊กมันไม่ค่อยดีมั้ง ผมก็หาวิธีแก้ไขบ้าง

เพื่อนหลายคนใช้วิธีเด็ดกว่านี้ครับ คือซื้อปลั๊กที่มีสวิทซ์เปิดปิดมาเลย วิธีการที่เขาทำก็คือ เสียบปลั๊กทุกๆ อย่างให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยเปิดสวิทซ์ที่ปลั๊ก เอ้ออ.. ไอเดียดีเนาะว่ามั้ย แต่จนแล้วจนรอด ผมเอ๊ะใจขึ้นมา เลยเปิดคู่มือโน้ตบุ๊กที่ผมเพิ่งได้มาใหม่ดู นั่งอ่านสักพัก ก็ถึง บ้างอ้อ จนได้ว่า สิ่งที่เราทำมานั้น ไม่ถูกต้องเลยครับ

มิน่า เสียบยี่ห้อไหน ก็ไฟแลบตะแลบแป๊บหมด.. พาลเอาใจหายว่าไฟจะช็อตได้
ต่อไปนี้ตั้งใจอ่านให้ดีดีนะครับในคู่มือเขาบอกไว้ชัดเจนเลยครับว่า วิธีการเสียบปลั๊กอะแดปเตอร์ของโน้ตบุ๊ก ที่ถูกต้องก็คือ ให้เราเสียบปลั๊กเข้ากับเต้ารับที่บ้านหรือที่ทำงานก่อนครับ จากนั้นค่อยเอาปลายอีกด้านที่เหลือมาเสียบเข้ากับโน้ตบุ๊ก อันนี้คือวิธีที่ถูกต้อง

ผมเลยลองดูซะเลยครับ ปรากฏว่าอาการไฟแลบหรืออาการสปาร์คนั้นไม่มีเกิดขึ้นเลย โอ้! นี่แหละหนาาา..นิสัยไม่ชอบอ่านคู่มือ หลังจากนั้นมาผมก็พยายามแนะนำเพื่อนๆ ทุกคนที่เกิดอาการนี้ทั้งหมด ทุกรายแฮปปี้ดีแทคมากๆ ผมเชื่อว่าหลายคนยังไม่ทราบครับ ใครที่ทราบแล้วก็ฝากบอกต่อเพื่อนๆ ด้วยนะครับ จะได้เสียบปลั๊กอะแดปเตอร์ได้ถูกต้องเสียที ใครใช้โน้ตบุ๊กอยู่ตอนนี้จะลองทำดูก็ได้นะครับ
ขอเพิ่มเติมด้วยว่า ใช้วิธีเดียวกันนี้กับ ทั้งมือถือ และ PDA ด้วย

ที่มาจาก saranair.com

Posted in Tags , , , , | 2 Comment

Microsoft Windows Desktop Search

Windows Desktop Search เป็นการผสมผสานที่ลงตัวที่สุดระหว่าง Yahoo X1 และ Google มันติดตั้งโปรแกรมการค้นหาไว้ทุกตำแหน่ง จากแถบเครื่องมือใน Internet Explorer ไปจนถึง taskbar
หน้าตาของ Windows Explorer จะคล้ายๆ กับ Google ผลลัพธ์ในการค้นหาจะปรากฏขึ้นเป็นไฟล์หรือโฟร์เดอร์ทางหน้าต่างด้านซ้าย ช่องแสดงผลอาจจะดูสับสนเล็กน้อย แต่สามารถเลือกดูไฟล์ได้หลากหลาย ซึ่ง WDS (Windows Desktop Search) มีการแสดงข้อมูลแบบ มัลติฟอร์แมทที่จะเรียบเรียงการค้นหาข้อมูลลงมาเป็นลำดับ

ขั้นตอนการแสดงข้อมูลของ WDS จะนานกว่าของ Yahoo หรือ Google เล็กน้อย และมันจะหยุดการทำงานของตัวมันเองหากพบว่ามีโปรแกรมอื่นกำลังทำงานอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม การค้นหาข้อมูลของ WDS ก็ทำได้เร็วมาก นอกจากนี้ยังสามารถส่งผ่านข้อมูลผ่านทางอีเมลล์ไปยังโปรแกรม Excel ได้ด้วย

ส่วนที่น่าสนใจ คือ การรวมไว้ด้วย Outlook มันจะส่งผลการค้นหาออกมาภายในโปรแกรม Outlook ซึ่งดีกว่าการค้นหาข้อมูลแค่ในช่องเซิร์ชเท่านั้น และดีกว่าฟังก์ชั่นของ Yahoo หรือ Google ด้วย WDS มีความสมดุลระหว่าง X1 และ Desktop Search ของ Google หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ไว้วางใจในการทำงานบน Outlook โปรแกรมนี้ก็เป็นโปรแกรมที่ดีที่สุดสำหรับคุณแล้ว

Notebook:ดูแล Notebook

ท่านที่ใช้งาน คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเป็นประจำ หรือมีใช้งานบ้าง หรือแม้แต่การใช้งานในกลุ่มอื่นๆ ของ แบตเตอรี่อย่าง Lithium-ion เช่น Ipod เป็นต้น มักจะมีคำแนะนำต่างๆ ที่ได้รับรู้มาบ้าง เป็นต้นว่า ควรใช้ให้แบตเตอรี่เกือบหมดจึงค่อยชาร์ต หรือ อย่าให้ประจุหมดเสียทีเดียวจึงจะชาร์ต มาบ้าง แต่คราวนี้ลองมาดูรายละเอียดแบบจริงๆ จังๆ กันบ้างครับ

แล้วจะถนอมแบตเตอรี่อย่างไร หรือว่าไม่ต้อง ???

1. พยายามลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่เกินกำลัง ซึ่งแม้ว่า การแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์แต่ละรุ่นจะถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานนั้นๆ แล้วก็ตาม แต่หากเราลดการใช้กำลังไฟ ที่ไม่จำเป็น ก็จะช่วยลดภาระของแบตเตอรี่ และช่วยยืดอายุการใช้งานได้ เช่น สำหรับ Notebook เมื่อไม่ได้ใช้งาน wireless lan, bluetooth ก็ควรปิด ไม่ควรเปิดไว้ เพราะว่าระบบเหล่านี้ ก็จะทำงานกินไฟไปเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็น

2. พยายามถอดแบตเตอรี่ออกทุกครั้งที่มีการเสียบไฟบ้าน สำหรับในกรณีนี้ เป็นข้อแนะนำที่อาจจะดูกลางๆ หรือว่า ไม่จำเพาะเจอะจงว่าต้องทำ เนื่องจาก Notebook หลายๆ รุ่นจะมีระบบตัดไฟอยู่แล้วเมื่อพบว่า Battery เต็มอยู่ ก็จะปรับไปใช้งานระบบไฟบ้านเพียงอย่างเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า Notebook ทุกรุ่นจะมี หรือสามารถทำได้ ยังมี Notebook อีกหลายรุ่นที่ไฟจะถูกดึงจาก battery เป็นหลัก แม้ว่าจะเสียบไฟบ้านก็ตาม

ซึ่งผลของมันคือ จะทำให้ Battery ทำงานอยู่ตลอดเวลาทั้งชาร์ตและจ่ายไฟในคราวเดียวกัน ส่งผลทำงานมากขึ้น เกิดความร้อน และทำให้ cell battery เสื่อมในที่สุดนั่นเอง

3.ควรเคลียร์ Cell Battery ทุกๆ สามสิบครั้งของการชาร์ต เนื่องจากแบตเตอรี่ในกลุ่มนี้ จะนับจำนวนรอบและชาร์ตพลังเดิมได้ตลอด ทำให้หลายๆ ครั้งที่ ประจุ มีอาการเหมือนกับคั่งค้างอยู่ใน แบตเตอรี่ จนทำให้เจ้า Noteboook ของคุณแสดงปริมาณของไฟ ไม่ตรง ซึ่งสังเกตุได้จาก อาการที่ เครื่องปิดตัวเองเหมือนกับแบตเตอรี่อ่อน ทั้งๆ ที่เครื่องของคุณยังแสดงปริมาณเหลืออีกเกือบครึ่งเป็นต้น

นั่น หมายถึงว่า มีประจุคั่งค้างใน cell battery เสียแล้ว วิธีการแก้ไขคือ ทุกครั้งการชาร์ตไปแล้วประมาณ 30 ครั้ง ควรจะเปิดเครื่องใช้งานจนแบตหมดจริงๆ แล้วชาร์ตให้เต็มซักครั้ง ก็จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ หรืออาจจะใช้งานให้จนหมดซักสองถึงสามครั้งแล้วชาร์ตจนเต็ม

4. อย่าเก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่ร้อน เพราะหลายท่านมักจะพกพาเอา Notebook ไปไหนมาไหนเสมอ มักจะทิ้งไว้ในรถยนต์ โดยท่านไปทำกิจธุระอื่นๆ ทั้งวัน

การทิ้งแบตเตอรี่ไว้ในรถยนต์ที่จอดทิ้งไว้ หากจอดไว้ในที่ร่มคงไม่เป็นไร แต่ถ้าจอดไว้กลางแดดแล้วละก็จะทำให้ Cell battery ร้อน และเสื่อมสภาพเร็วกว่าปรกติครับ

5. อย่าเก็บแบตเตอรี่ไว้รวมกับสื่อนำไฟฟ้าอื่นๆ หรือในกล่องที่นำไฟฟ้าได้ เพราะหลายครั้งที่แบตเตอรี่เสียเนื่องมาจากเกิดการชาร์ตในระหว่างการเก็บ เช่น มีเศษเหรียญไปโดนบริเวณขั้วแบตเตอรี่ทั้งสองขั้ว เป็นต้น

6. เมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ และต้องการเปลี่ยน cell battery ภายใน ควรเลือกที่จะให้ทางศูนย์บริการเปลี่ยนให้ หรือซื้อจากศูนย์ฯ โดยตรง เพราะการเปลี่ยน cell batery ภายในนั้นหลายครั้งที่มีการใส่ cell ผิดแบบ ผิดประเภท จนทำให้เครื่องพังได้ครับ

7. อย่าลืมติดตามข่าวสารด้าน Technology จากเว็บไซต์ต่างๆ เช่น ล่าสุดเราจะได้ยินข่าวแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ค ระเบิด ซึ่งทางบริษัทผู้ผลิต ก็ได้ทำการแจ้งข่าวสารผ่านทางหน้าเว็บไซตืของผู้ผลิตเอง เรียก Battery รุ่นที่มีปัญหากลับคืน เพื่อเปลี่ยนรุ่นใหม่ ให้เป็นต้น

ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ยืดอายุการใช้งาน Battery และ Notebook ของคุณได้นานยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำไปวิธีนี้ไปใช้งานกับ Battery ในกลุ่มของ Lithium-ion ได้อีกด้วย

ที่มาจาก TTTonline.net

Posted in Tags , , | 1 Comment

Stop Motion Rubik's Cube solve *Original*

ช่วงนี้ขึ้นไปห้องโบนัสเหนมันฮิตเล่นไอ้ลูกบิด ก็เลยนำวิดีโอมาให้ดูกันอ่ะ

แต่ว่ามันเร้วมาหมายเลยอ่ะดูม่ะทันว่ามันทำยังไง

แต่ใครอยากรู้วิธีที่ทำให้มันเสร็จภายในหนึ่งวินานที ญ้ำนะครับหนึ่งวินาทีเจรงๆๆ

ลองไปหาดูได้ที่เว็ปของเอ็มไทยนะครับ รับรองครับว่าทำได้เจรงๆๆ

ส่วนอันนี้ผมก็ทำม่ะได้แล้วไปก่อนล่ะครับ Click Here

ส่วนอันล่างนี้ดูดีๆนะครับมันเร็วมากมาย แล้วทำเป็นทีมเวิร์คมากเลยครับ หาดูได้ที่นี่หรือ Youtube

Posted in Tags , , | 0 Comment

Everest

หนุ่มไทยพิชิต "เอเวอเรสต์" เผยแรงบันดาลใจไต่เหยียบเมฆจากงานเทิดพระเกียรติ 60 ปี ครองราชย์ ภาคธุรกิจไทยเมินสุดท้ายได้เวียดนามสนับสนุน แฉภารกิจสุดหินซ้อมปีนเขาอยู่หลายประเทศก่อนพิชิตยอดเขาดัง

คงมีไม่บ่อยครั้งที่คนไทยจะมีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ ปีนเขาเอเวอเรสต์ ยอดเขาสูงที่สุดในโลก ซึ่งสูง 8,848 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ด้วยความเพียรพยายาม และความศรัทธาอันแรงกล้า ทำให้นายวิทิตนันท์ โรจนพานิช อายุ 39 ปี ชาว กทม. สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้สำเร็จและสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นคนไทยคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้เป็นผลสำเร็จ

นายวิทิตนันท์ ประกอบอาชีพครีเอทีฟรายการโทรทัศน์ และกำลังจะผันตัวเองไปเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ซึ่งด้วยสายงานดังกล่าวแทบจะไม่มีโอกาสให้ชายหนุ่มผู้นี้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของการเสี่ยงตายอย่างการปีนยอดเขามรณะเอเวอเรสต์ ที่แต่ละปีมีคนจากทั่วโลกเอาชีวิตไปทิ้งบนยอดเขาแห่งนี้จำนวนมากได้

แต่ด้วยนายวิทิตนันท์ เป็นคนที่ชื่นชอบการผจญภัย ชอบการดำน้ำ ชอบขับเครื่องบินเล็ก และชอบการเดินทางไปทั่วทุกมุมโลก ทำให้หนุ่มใหญ่ผู้นี้มีโอกาสพบกับนายดูล สวี เชาว์ นักปีนเขาที่เป็นคนแรกของประเทศสิงคโปร์ที่ขึ้นไปเหยียบยอดเขาเอเวอเรสต์ ขณะร่วมทริปไปดำน้ำในประเทศพม่า เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา

ในการพบกับนายดูล สวี เชาว์ ครั้งนั้นเหมือนเป็นการจุดประกายให้นายวิทิตนันท์ มีความคิดที่จะเป็นคนไทยคนแรกที่นำธงชาติไทยไปปักลงบนยอดเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาสูงที่สุดของโลก

"ดูล สวี เชาว์ เขาพูดกับผมว่าอยากให้มีคนไทยปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ สำเร็จอย่างเช่นคนสิงคโปร์ทำ ผมบอกกับเขาไปในวินาทีนั้นเลยว่า คนไทยทำอะไรได้ทุกอย่างและผมนี่แหละจะเป็นคนไทยคนแรกที่ไปเหยียบยอดเขาลูกนั้น" นายวิทิตนันท์เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้ต้องไปปีนเขาเอเวอเรสต์

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นายวิทิตนันท์ขวนขวายที่จะเดินทางไปปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ให้สำเร็จ โดยเริ่มแรกไปทดลองปีนเขาชินาบูลู ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 4,095 เมตร

นายวิทิตนันท์กล่าวอีกว่า ต้องการให้คนทั่วโลกรู้จักคนไทยในมุมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากมวยไทย หรือต้มยำกุ้ง และต้องการแสดงให้คนชาติไหนๆ ได้เห็นว่าคนไทยก็สามารถทำอะไรได้เหมือนคนชาติอื่นทำได้ และตั้งใจว่าในชีวิตนี้จะต้องไปยืนบนยอดเขาเอเวอเรสต์ให้ได้

แต่การปีนเขาสูงที่สุดในโลกของนายวิทิตนันท์ มีอุปสรรคสำคัญคือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า 2 ล้านบาท จึงต้องหาทางแก้โดยการประกาศหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่ก็ต้องพับโครงการไปเพราะติดขัดเรื่องเวลาที่ไม่เอื้ออำนวยระหว่างคนในกลุ่ม

นายวิทิตนันท์บอกว่า ในช่วงแรกรู้สึกท้อเพราะอุปสรรคมีมาก กระทั่งเมื่อปี 2549 เกิดแรงบันดาลใจครั้งใหญ่ คือเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราชย์ครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนไทยกว่า 60 ล้านคนมาอย่างยาวนาน ตนซึ่งเป็นคนไทยควรทำอะไรเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน

ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2549 นายวิทิตนันท์ตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศเนปาล เพื่อไปทดลองปีนเขาเอเวอเรสต์ พร้อมทั้งถ่ายภาพตัวเองขณะปีนเขาเพื่อนำกลับมาทำเป็นชิ้นงานเสนอขอสปอนเซอร์จากภาคธุรกิจ ในการเดินทางครั้งนั้นนายวิทิตนันท์ปีนเขาเอเวอเรสต์ได้ในระดับความสูงเพียง 5 ,000 กว่าเมตร เนื่องจากขาดอุปกรณ์การปีนเขาที่มีประสิทธิภาพเพราะราคาสูง

"หลังจากกลับมาถึงประเทศไทยผมใช้เวลาหาสปอนเซอร์อยู่นานเกือบ 2 ปี แต่ก็ไม่มีใครให้ โดยส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าคนอย่างผมจะทำได้ กระทั่งพบกับคุณนิรัตติศัย กัลย์จาฤก ผู้บริหารบริษัทกันตนา ซึ่งให้ความสนใจกับแผนการของผม ต่อมาคุณนิรัตติศัย และผู้บริหารกันตนาก็ได้พยายามหาสปอนเซอร์ให้ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจในประเทศไทยแม้แต่รายเดียว โชคดีที่คุณจารึก กัลย์จาฤก รู้จักกับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนามซึ่งสนใจที่จะสนับสนุน" นายวิทิตนันท์กล่าว

นายวิทิตนันท์กล่าวว่า การให้การสนับสนุนของบริษัทธุรกิจจากเวียดนามมาในรูปของการร่วมกันผลิตรายการโทรทัศน์ในลักษณะเรียลิตี้ไปเผยแพร่ในประเทศเวียดนาม โดยเปิดรับอาสาสมัครชาวเวียดนามมาร่วมเดินทางไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยมีตนเป็นหัวหน้าทีม

การคัดสรรชาวเวียดนามนั้น ในระยะแรกมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการถึง 3,000 คน ก่อนที่จะคัดเหลือเพียง 4 คน ซึ่งระหว่างการคัดตัวนั้นมีการถ่ายทำเผยแพร่เป็นรายการเรียลิตี้โชว์ออกอากาศทางโทรทัศน์ในเวียดนาม ในวันจันทร์ถึงวันเสาร์วันละ 5 นาที และในวันอาทิตย์ 30 นาที

นายวิทิตนันท์บอกด้วยว่า ระหว่างการคัดตัวนั้นมีการฝึกร่างกายให้มีความแข็งแรงเพื่อเตรียมพร้อมในการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยไปปีนเขา ฟางสิปัง ในเวียดนามที่สูงจากระดับน้ำทะเล 3,100 เมตร และปีนยอดเขาชินาบาลู ในประเทศมาเลเซีย สูง 4,095 เมตร เพื่อสร้างความเคยชินและเรียนรู้วิธีการปีนเขา และปิดท้ายการฝึกซ้อมโดยการปีนเขาไอซ์แลนด์ฟิกส์ ซึ่งเป็นภูเขาน้ำแข็งสูง 6,189 เมตร ในประเทศเนปาล เพื่อให้นักปีนเขาเคยชินกับสภาพอากาศและภูมิประเทศของภูเขาลูกนี้ที่มีความใกล้เคียงกับยอดเขาเอเวอเรสต์

การเตรียมร่างกายของนักปีนเขาชุดนี้ใช้เวลาในการเตรียมตัวนานกว่า 8 เดือน ก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจสุดท้ายคือการปีนยอดเขาสูงที่สุดในโลก

นายวิทิตนันท์เล่าว่า เขาเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศเนปาล ในวันที่ 8 เมษายน 2551 เพื่อปฏิบัติภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และเดินทางกลับสู่มาตุภูมิในวันที่ 3 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลา 2 เดือนเต็มในช่วงดังกล่าว เขาและเพื่อนร่วมทางชาวเวียดนามต้องใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาโลก

"ชีวิตบนนั้นลำบากมากอากาศหนาวและแห้ง มีแต่ก้อนหิน กับหิมะ อุณหภูมิกลางวัน 15 องศาเซลเซียส บ่ายเหลือ 0 องศาเซลเซียส กลางดึกอุณหภูมิติดลบ 25 องศาเซลเซียส หากคืนไหนมีหิมะตกก็เหมือนอยู่ในนรกไม่มีผิด นอกจากอากาศแล้วอาหารก็แทบกินไม่ได้มีเพียงเนื้อที่ผ่านการปรุงจากชาวแชร์ปา รสชาติไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งในแต่ละวันที่ปีนเขาจะต้องเดินทางตลอดทั้งวันจนกว่าจะถึงแคมป์ที่พัก โดยจุดที่ยากสุดคือบริเวณที่ผ่านพื้นที่ที่เรียกว่า คลุมบูไอซอล แปลเป็นไทยคือหิมะถล่ม จุดนี้ยากมากหากพลาดหมายถึงเอาชีวิตไปทิ้ง" นายวิทิตนันท์กล่าว

ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์คนแรกของไทยกล่าวด้วยว่า แต่เมื่อเดินทางบริเวณแคมป์ 4 ซึ่งมีโอกาสได้พัก 4 ชั่วโมงก่อนที่จะขึ้นไปยังจุดซามิต ปลายยอดของภูเขาเอเวอเรสต์ สิ่งแรกที่ทำคือหยิบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งใส่ไว้ในเป้บนหลังมาดู เพื่อเป็นกำลังใจ ก่อนที่จะเดินทางออกจากแคมป์ 4 ไปยังซามิต ที่ต้องใช้เวลาการเดินทางอีก 7 ชั่วโมง

"7 ชั่วโมงจากแคมป์ 4 ไปยังซามิต ผมพะวงอย่างเดียว กลัวพระบรมฉายาลักษณ์ กับธงชาติ หล่นหาย เพราะเส้นทางลำบากมาก แต่เมื่อถึงซามิต ผมโล่งอก พระบรมฉายาลักษณ์ยังอยู่ ธงชาติยังอยู่ ผมรีบหยิบพระบรมฉายาลักษณ์ออกมาชูขึ้นเหนือหัวและให้ มร.แชรัม แชร์ปา หัวหน้าทีมแชร์ปา ถ่ายภาพให้ ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นถามผมว่าคนในภาพเป็นพ่อผมหรือ ผมตอบเขาว่าใช่นอกจากจะเป็นพ่อผมแล้วยังเป็นพ่อของคนไทยอีก 60 ล้านคน หลังจากนั้นผมก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี" นายวิทิตนันท์กล่าว

Posted in Tags , , | 2 Comment

Search

Custom Search